เทศน์เช้า

เทศน์ก่อนเวียนเทียน มาฆะคํ่า

๑ มี.ค. ๒๕๔๒

 

มาฆะค่ำ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๔๒
ณ วันสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เป็นชาวพุทธ ว่าเป็นชาวพุทธคือพระพุทธศาสนาเป็นที่พึ่ง พระพุทธศาสนาไง เป็นพุทธศาสนิกชนต้องมีที่พึ่ง เราเป็นคนไม่มีที่พึ่งมันว้าเหว่ หาที่เกาะหาที่พึ่งไม่ได้ ชาวพุทธต้องถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นรัตนตรัยไง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ วันนี้เป็นวันสำคัญ วันสำคัญว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วได้สั่งสอน ได้ประกาศธรรม จนมีพระอรหันต์ที่ปฏิบัติแล้วเป็นเอหิภิกขุ หมายถึงว่า เกิดจากพระพุทธเจ้าบวชให้ เป็นลูกสายตรง ๑,๒๕๐ องค์ เป็นพยานว่านั่นเป็นพระสงฆ์ พระธรรมคือว่าการตรัสรู้ ตรัสรู้แบบว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ก่อนแล้วสอนมา พระที่ปฏิบัติตามจนได้เป็นพระสงฆ์ อริยสาวก เป็นพระอรหันต์ ถึงว่าเป็นแก้วสารพัดนึกไง เป็นรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งของเรา

ชาวพุทธต้องถึงไตรสรณาคมน์ ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วเอาอะไรเป็นที่พึ่งไง เป็นพุทธศาสนิกชนใช่ไหม แก้วสารพัดนึกเป็นที่พึ่ง พึ่งได้จริงไหม ถ้าพึ่งได้จริงพระธรรมคืออะไร พระธรรมนี่ ภาชนะธรรมมันสูงเกินไปจนเราไม่รู้ไง เราจับต้องแล้วเราหยิบไม่ได้ เราจับไม่ถึง ถึงว่าบุญนี่เรามาเวียนเทียนกันนี่ บุญคืออะไร

เพราะเรามีบุญเราถึงได้มาเกิดเป็นมนุษย์ เราเกิดเป็นมนุษย์ ถ้ามีบุญพาเกิดถึงได้มาเกิดเป็นมนุษย์ เวลาเขาไปซื้อรถ เขาไปถอยรถเห็นไหม เขาเอาอะไรไปซื้อ? เขาเอาเงินไปซื้อ แต่เราจะเกิดเป็นคนนี่ เป็นมนุษย์นี่ มันก็เหมือนกับรถคันหนึ่ง เหมือนกับรถไง มนุษย์ไง เราถอยมนุษย์สมบัติออกมาจากท้องแม่ไง เอาบุญกุศลนี้ไง เพราะมีบุญมีกุศล มีศีล ๕ จิตนั้นถึงได้มาเกิดในท้องแม่ออกมา เหมือนกับเราถอยรถออกมาคันหนึ่ง เพราะมีบุญ ถ้าไม่มีบุญไปเกิดเป็นสัตว์

ดูเกิดเป็นสัตว์สิ เกิดเป็นปลาเราว่าปลามีความสุข ปลามันก็อยู่ในน้ำนั่นล่ะ เสร็จแล้วมันก็ต้องไปเป็นอาหารของคนอื่น เกิดเป็นนกมันบินได้ นกขนาดไหน บินมาจากไซบีเรียมาอยู่นั้น เขายังจับมาย่างขายกันท้องถนนนั่น นั่นเพราะเกิดเป็นสัตว์เห็นไหม เกิดเป็นสัตว์นี่ พระธรรมคือพระพุทธเจ้าบัญญัติไว้แล้วว่าเป็นอบายภูมิ เป็นคนที่มีบุญน้อยถึงได้เกิดเป็นสัตว์ คนที่มีบุญมากถึงได้เกิดเป็นคน บุญนี่ถอยความเป็นมนุษย์สมบัตินี้ออกมาไง

แต่มนุษย์สมบัตินี่ รถมันต้องมีคนขับกับมีรถ ร่างกายนี้เป็นรถ แต่คนขับรถนั้น คนที่หลับในเห็นไหม คนที่กินยาม้าขับรถ รถมันก็จะประสบอันตราย ในทำนองเดียวกัน หัวใจเราไม่มีที่พึ่ง หัวใจเราขับรถไม่มีสติ ไม่มีสัมปชัญญะ เราขับรถไปนี่ การดำรงชีวิตของเราเห็นไหม มันถึงต้องมีว่าคนขับรถอย่าหลับใน คนขับรถอย่ากินยาม้าไง

ทำนองเดียวกัน นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่รู้จักบุญกุศล เราก็ทำตามใจตัวเราไง บุญกุศลคือศีล ศีลเป็นข้อห้าม ห้ามไม่ให้เราทำผิดในศีล ๕ ไม่ให้ฆ่าสัตว์ ไม่ให้ลักทรัพย์ ไม่ให้ผิดในคู่ของเรา ไม่ให้ดื่มสุรา ไม่ให้โกหก ตรงนี้เป็นบุญกุศล นี่รัตนตรัย ถ้าเราปฏิบัติธรรมนะ มีศีลๆ ก็คุ้มครอง ผู้ใดปฏิบัติธรรม ธรรมะย่อมคุ้มครองเรา

คนขับรถถ้ามีศีลมีธรรม มันจะขับรถไปโดยสวัสดิภาพ ถ้าจิตของเราเป็นคนขับรถ คือร่างกายนี่ เราจะเอาร่างกายนี้ไปถึงไหน เห็นไหม ถึงรัตนตรัยไง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง เราไม่สามารถพึ่งตัวเราได้ ไม่สามารถพึ่งพ่อแม่ได้โดยตลอดไป เราจะประสบอุบัติเหตุตรงไหนก็ได้ถ้าคนขับรถมันไม่ดี คนขับรถนั้นถ้าพูดถึงสุขภาพไม่สมบูรณ์พอ นั่นคือใจไง นี่บุญอยู่ที่ตรงนั้น

เราถึงต้องมาเวียนเทียน เพราะวันนี้เป็นวันสำคัญ วันสำคัญหมายถึงว่าในพุทธศาสนา วันสำคัญที่ว่าเพราะมันยืนยันในเมื่อสองพันกว่าปีก่อนนั้น มันยืนยันว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้มีความสุขจริง ขับรถจนถึงที่สุดรถนั้นเป็นสิทธิของเราด้วย ทั้งหัวใจ ทั้งเจ้าของรถ ทั้งรถนั้น ไม่ต้องผ่อนส่ง เป็นสิทธิแล้วขับโดยสวัสดิภาพ จนอายุ ๘๐ ปีก็เอารถไปคืนอู่ เพราะต้องตายไป แล้วเจ้าของรถนั้นก็ไม่เป็นหนี้เป็นสิน เพราะว่าได้เป็นอิสระแล้ว

แต่สำหรับเรานี่ เราขับรถประสบความสำเร็จแล้ว เรามีสติสัมปชัญญะ เราก็ต้องเอารถนี้คืนอู่ เอากายนี้ไปไว้ที่เชิงตะกอนไง เอารถนี้ไปคืนที่อู่ แล้วหัวใจนั้นจะไปไหน ก็ต้องอาศัยบุญพาไปเห็นไหม บุญน่ะบุญกุศลที่พาไป นึกถึงพ่อถึงแม่มันก็มีบุญกุศล เรานึกถึงคนนี่ เรานึกถึงความเมตตาเผื่อแผ่ต่อกัน นี่เป็นบุญกุศล มีเผื่อแผ่ถึงกัน คนยิ้มแย้มแจ่มใสเข้าหากัน

นี่เรานึกถึงรัตนตรัย นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เริ่มนึกพุทโธเราก็ได้บุญแล้ว เพราะเราระลึกถึงพระพุทธเจ้า องค์ศาสดาองค์เอกของเรา แล้วนี่เรามาเวียนเทียนเพราะเป็นวันสำคัญในศาสนา เป็นกิจกรรมว่าเรามาเวียนเทียน เอาดอกไม้ธูปเทียนมาเคารพรัตนตรัยไง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราเอาดอกไม้ธูปเทียนนี้มาบูชารัตนตรัย แล้วทำไมมันจะไม่เป็นบุญล่ะ เป็นบุญกุศลให้หัวใจดวงนั้น ถึงจะเอารถไปคืนอู่ก็ให้หัวใจนั้นมีบุญกุศลต่อไปเกิดภพชาติต่อๆ ไปไง ให้หัวใจเกิดสูงไปๆๆ ให้เกิดมาแล้ว เราจะเอารถรุ่นไหนถอยออกจากอู่ต่อไปล่ะ จะเป็นรถกระบะ จะเป็นรถเก๋งรุ่นดีๆ ก็เหมือนกัน เราจะไปเกิดภพชาติไหนต่อไปล่ะ เราจะไปเกิดที่ไหนต่อไป ก็บุญกุศลตัวนี้ล่ะจะพาให้ไปเกิด บุญกุศลที่เราทำคุณงามความดีนี่ล่ะ อันนี้มันถึงเป็นบุญกุศลหมายถึงว่า รัตนตรัยอยู่ที่ไหนไง บุญอยู่ที่ไหนไง ใครเป็นคนเสวยบุญไง ใครเป็นคนได้บุญไง แล้วบุญจะเกิดขึ้นได้อย่างไร

เราตั้งใจของเรา บุญเป็นนามธรรม ว่าบุญไง คือมันต้องต่อไป เราเติมของเราๆ เติมของเราขึ้นไปเรื่อยๆ รถยังต้องเติมน้ำมันตลอดไปนะ บุญกุศลพาให้เราไปดี บุญกุศลน่ะ มันต้องไปทุกคน ตามสัจจะความจริงเลยต้องไปทุกคน มาแล้วเกิดแล้วต้องไปหมด แล้วเมื่อก่อนคนมันมี ๑๖ ล้าน เดี๋ยวนี้มัน ๘๐ ล้าน แล้วมาจากไหนล่ะ ทำไมเดี๋ยวนี้มีตั้ง ๖๐-๗๐ ล้านคน แล้วจะมากขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นพันๆ ล้านขึ้นไป คนจะมากขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วมาจากไหน ในเมื่อจิตดวงเดียวตายแล้วเกิดดวงเดียวนั่นน่ะ

อบายภูมินี่มหาศาลนะ สิ่งที่อยากจะเกิดดี แต่เขามีบุญไม่พอถึงได้ไม่ไปเกิดอย่างนั้น แต่เรานี่มีบุญกุศลแล้ว แต่เราก็มาทุกข์กันไง เรามาทุกข์ว่าเราเกิดแล้วเราทุกข์มาก เราทุกข์มาก แต่เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นภพกลางๆ เป็นภพว่าระหว่างสุขกับทุกข์ นี่สุขกับทุกข์เราพอใจใช่ไหม เราพอใจหมายถึงว่า เราต้องการให้ดีขึ้นไปๆ ดีขึ้นไปในทางวัตถุนี่นะ วัตถุเราก็หาไป แต่หัวใจมันสัมผัสตรงนี้ หัวใจเป็นที่เก็บ เพราะหัวใจนี้เป็นคนขับรถ ไม่ใช่รถ หัวใจเป็นคนขับรถเพราะหัวใจต้องไปต่อ รถเข้าอู่ที่เชิงตะกอนเท่านั้น เป็นเท่านั้นเอง

แต่ชีวิตเห็นไหม การใช้รถกว่ารถจะหมดอายุของมัน ชีวิตเราก็เหมือนกัน เราจะใช้ขนาดไหนถึงจะสิ้นสุดการใช้งานของรถคันนั้น ร่างกายของเรา เราพยายามรักษาไป พยายามประคองกันไป เพื่อจะใช้งานให้มีคุณงามความดีที่สุดเพื่อสะสมไป เพราะเกิดมาเป็นภพมนุษย์แล้วให้มันสูงขึ้น ตายไปอย่างน้อยก็เกิดเป็นมนุษย์อีก อาศัยบุญเป็นตัวพาไปเกิด ถ้าไม่อย่างนั้นก็ลงอบาย

มันต้องเกิดแน่นอน มันเป็นความจริงต้องไปเกิดอีก หัวใจนี้มันไม่มีที่สุด เพราะมันมีแต่ป่าช้าของร่างกาย ไม่เคยมีป่าช้าของหัวใจ ใครไม่เคยเห็นมีป่าช้าหัวใจที่ไหน วัดไหนมีป่าช้าหัวใจ ไม่มี มีแต่ป่าช้าของร่างกาย นี่มันไปตามวัฏฏะ ไอ้ตัวนี้ที่ว่าศาสนาสอนเรื่องกลางหัวใจนี้ แต่ไอ้เรื่องปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัยนั้นมันต้องเป็นเครื่องอยู่อาศัย อันนั้นเป็นเครื่องย้อนกลับมาถึงเราไง

ถึงว่าเราจะแสดงออกอย่างไร ถ้าจิตมันดีเราแสดงออกดี การแสดงออกของใจนั้น ใจนี้เป็นประธาน ใจนี้รับรู้ทั้งหมดแล้วแสดงออกมาๆ แสดงออกไปอย่างไรล่ะ ถ้ามันได้รับอันนี้เข้ามามันเข้าใจตรงนี้ มันแสดงออกมามันก็ละเอียดอ่อนขึ้นไปๆ ถ้ามันเป็นความหยาบกระด้างมันก็เป็นความหยาบกระด้างของความคิดนั้นออกมา มันต้องสะสมตรงนี้ไง

ถึงว่าย้อนกลับมา คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันต้องว่าเทียบเข้ามาๆ ความเห็นของเรามันเชื่อไม่ได้ ความเห็นของเราเพราะมันเกิดจากอวิชชา ฟังสิ อวิชชาหมายถึงว่ามันเป็นความรู้ รู้แบบวิชาการไง แต่ไม่รู้ถึงว่า เห็นไหม ที่โลกเขาว่าต้องมีคนฉลาดแล้วต้องดีด้วย คนที่ฉลาดแล้วไม่ดีก็ทำให้สังคมปั่นป่วนเห็นไหม ความดีตัวนั้น ความดีนี่มันจะรู้จากตัวเองเรื่อยๆ กับสัมผัสเข้ามากับตัวเองว่าตัวเองฉลาด เห็นไหม คนเราฉลาด แต่ฉลาดแล้วทำให้คนอื่นเดือดร้อน

แต่ฉลาดด้วย เพราะว่าศาสนาสอนไม่เบียดเบียนตน ฟังสิ ไม่เบียดเบียนตนแล้วก็ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไฟเวลามันเผาตัวมันเองมันมีความร้อนเห็นไหม เวลาความคิดด้วยอวิชชา มันคิดขึ้นมามันมีความร้อนในตัวมันเอง ความร้อนในตัวของไฟ นั่นล่ะมันพึ่งออกมา อวิชชา รู้ แต่ไม่รู้สึกว่ามันกระทบเขาไม่กระทบเขา แต่รู้ออกมานี่คืออวิชชา

ฉะนั้นความคิดอันนี้มันถึงออกมาพร้อมกับตรงนั้นไป กลับมานี่ พอศึกษานี่อวิชชา ตัวไหนวิชา วิชาชีพอย่างหนึ่ง วิชารู้จักตัวเองอย่างหนึ่ง รู้จักตนเองเห็นไหม รู้จักตนเองก็เหมือนกับที่ว่า คนขับรถน่ะ คนขับรถไม่หลับใน คนขับรถไม่ประมาท รถนั้นก็ไปด้วยความสวัสดิภาพ หัวใจที่เป็นคุณเป็นประโยชน์ของเราเอง เพราะเราเกิดมาเราพอใจในภพ พอใจนะ พอใจในภพที่การเกิดนี้ เพราะเกิดมาเป็นมนุษย์นี้เป็นผู้มีอิสระ

ถ้าไม่เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นอย่างอื่นล่ะ เกิดแน่นอน เกิดเป็นอย่างอื่น ถ้าเกิดสูงขึ้น เกิดเป็นเทวดาก็มีความสุขไป เทวดามีจริง สวรรค์มีจริง นรกมีจริง การทำงานนี่ถึงสิ้นเดือนเราต้องรับเงินเดือนเห็นไหม พอทำคุณงามความดีต้องให้ผลทั้งหมด คุณงามความดี กรรมไง ศาสนาสอนเรื่องกรรม เรื่องการกระทำ การกระทำทุกอย่างจะให้ผลทั้งนั้นเลย ฉะนั้นทำความดีถึงจะให้ผลเป็นความดี ทำความไม่ดี ใครจะรู้ไม่รู้ เราทำความชั่วในที่มืดขนาดไหน ความชั่วนั้นจะให้ผลใจเราเด็ดขาด ใครจะรู้ไม่รู้ไม่เกี่ยว กฎหมายจะตามทันไม่ทันไม่เกี่ยว แต่กรรมนั้นจะให้ผลเด็ดขาด

ฉะนั้นเวลาพระเราปฏิบัติอยู่ในป่าเห็นไหม ทำอยู่ในป่า ปฏิบัติอยู่ในป่า มันจะสำเร็จด้วยตัวมันเอง ใครจะรู้ไม่รู้ก็แล้วแต่ มันเป็นปัจจัตตังรู้จำเพาะตน รู้จำเพาะตนนะ เด็ดขาดๆ อยู่ในใจของตัว ทำความดีเห็นไหม ไม่ต้องให้ใครเห็นก็เป็นความดี กรรมถึงให้ผลเด็ดขาดเลย ถ้ามันเชื่อกรรมนี่ เราเชื่อผลของกรรม เกิดมานี่ผลของกรรมทั้งหมดเลย ที่เกิดมาอยู่นี่ผลของกรรม

ถึงว่ามีวาสนามาก ได้เกิดเป็นมนุษย์ถึงให้ภูมิใจมนุษย์สมบัติ มนุษย์สมบัตินี้ควรภูมิใจมาก เพราะมนุษย์สมบัติ ถ้าไม่เกิดเป็นมนุษย์สมบัติต้องเกิดเป็นอย่างอื่นไป นี่ที่ว่าเกิดเป็นมนุษย์สมบัติให้ภูมิใจเพราะมันทุกข์ไง เวลาเราเกิดเป็นมนุษย์สมบัติว่าเป็นความสุข ทำไมมันทุกข์ขนาดนี้ ทุกข์เพราะว่าเรายึดและเราหมายสิ่งที่สูงกว่านี้เกินไป หมายสิ่งที่สูงเกินไปเห็นไหม ปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัย นี่เป็นญาติกันโดยธรรม เห็นไหม เป็นธรรมทายาทเพราะเกิดมามีปากมีท้องทุกคนเลย ไม่เคยไม่มีใครมีปากมีท้องเพราะเป็นมนุษย์

นี่ปัจจัย ๔ เครื่องอาศัยเห็นไหม กินอิ่มนอนอุ่น แล้วก็ความเป็นปัจจัย ๔ พออาศัยอยู่ได้ การทำมาหากินอันนี้ไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่ตัณหาความทะยานอยาก แต่สิ่งที่เกินกว่านั้นไป เราคิดหวังมากเกินไป อันนั้นถึงว่าเป็นความทุกข์ไง ถึงว่ามันทำไมถึงทุกข์ นี่ทุกข์เพราะยึด ทุกข์เพราะไม่เข้าใจ แต่เราทำตามหน้าที่ สิ่งที่เกิดขึ้นมาเป็นของเราเพราะบุญกุศลคนไม่เท่ากัน นั่งอยู่นี่ทุกคนเลย ไม่มีใครเหมือนใครเลย เพราะอะไร เพราะการกระทำมาจากข้างหลังมันต่างกัน อยากมีรูปสวยให้ถือศีล อยากมีสมบัติให้ๆ ทาน นี่มันเป็นพื้นฐานไง แต่สิ่งนั้นแล้วแต่ มันเป็นทาน ศีล ภาวนา พระพุทธเจ้าถึงสอนทาน ศีล ภาวนา ขึ้นไป

ถึงบอกว่าให้รู้จักว่าเราแค่เป็นศาสนิกชน ถึงคราวถึงกาลสำคัญในศาสนา นี่มาเติมบุญไง มาเติมว่าเราระลึกถึงพระพุทธศาสนา ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นแก้วสารพัดนึก เห็นไหม เรานึกถึง เราเคารพ เราบูชา แม้แต่การยกมือไหว้นี่ก็ได้บุญแล้ว การคารวะนี่บุญกุศลเกิดแล้ว เพราะใจมันเปิด ใจยอมรับ ขนาดใจสั่งให้มือยกขึ้นมาแล้วยกไหว้พระนี่ อันนั้นมีบุญกุศลนะ แต่เราดูเป็นประเพณีไง ดูเป็นของธรรมดากันไปไง

ถ้าใจไม่สั่ง มือยกขึ้นมาได้อย่างไร แล้วนี่มาทั้งตัวแล้วมาคารวะ มาคิดถึงพระรัตนตรัยของเรา ฟังสิ พระรัตนตรัยนะ เพราะอะไร เพราะพระพุทธเจ้าเกิดมาแล้วตลอด ไม่ใช่ว่าพระพุทธเจ้าองค์นี้องค์เดียว เกิดมาไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์ มีพระพุทธเจ้ามาตลอด แล้วเราก็อาศัยสิ่งนี้เป็นเครื่องดำเนินมาตลอด แล้วเราจะเกิดตายต่อไปข้างหน้า ต่อไปข้างหน้า ถึงว่าสิ่งนี้พระพุทธเจ้าทุกองค์ตรัสภาษาบาลีอย่างเดียว แล้วเราเข้าใจหลักธรรมนี่ มันเป็นแกนกลางน่ะ แกนกลางหมายถึงว่า เป็นที่ยึดเหนี่ยวของเราไป สาวเข้าไปหาสิ่งที่ดี สาวเข้าไปหาสิ่งที่ดี นี่เราเคารพ ศรัทธา แล้วเราตั้งใจทำเห็นไหม

เวลาเวียนเทียนรอบแรกให้นึกถึงพุทโธๆๆๆ เห็นไหม คิดถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระพุทธเจ้า ระลึกถึงพระพุทธเจ้าๆ อยู่ที่ใจ

รอบที่สองนึกธัมโมๆๆ ถึงจะไม่รู้ว่าสอนอย่างไร สัจจะสอนอย่างไรก็จริงอยู่ แต่นึกถึงธัมโมด้วยใจสัมผัสด้วยรูปของธรรมเลย อริยสัจ แต่ปลีกย่อยแล้วเราแยกไม่เป็น อันนั้นเอาไว้ก่อน เพราะพุทธศาสนิกชนนี่ เรานึกถึงรัตนตรัยของเรา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่เวลาออกบวชหรือว่าเราประพฤติปฏิบัติเข้าไป มันจะแยกเข้าไปอีกๆ ถึงว่าให้ธัมโมๆ ตลอดไป

รอบที่สาม สังโฆก็ ๑,๒๕๐ รูป เอหิภิกขุโดยตรง คิดถึงพระอรหันต์ไง พระสงฆ์ อริยสาวก พระอรหันต์

เห็นไหม รัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตรงนั้นไง เราระลึกถึงตรงนั้นเลย ใจก็เกาะเกี่ยวตรงนั้น ให้คิดถึงตรงนั้น บุญกุศลเกิดจากตรงนั้น บุญไม่ใช่เกิดจากที่ว่าเราต้องถวายสิ่งที่พระใช้จ่ายถึงจะเป็นบุญกุศล เพราะเครื่องที่เราบูชานี้บูชารัตนตรัยเลย โดยตรงเลย อันนี้จะเป็นบุญกุศล น้อมจากจิตมันเข้าถึงจิตเลย จิตไง เจตนาเกิดขึ้น มันเข้าตรงเพราะมันฝังลงที่ใจ

มันฝังลงที่ใจใช่ไหม อนุสัยเครื่องดองสันดานอยู่ที่ใจ แก้กิเลสก็ต้องแก้ที่ใจ สิ่งนี้มันก็ตรงตัวเลย มันตรงตัวหมายถึงว่ามันเป็นที่เกาะเกี่ยวของเราได้ ถึงเป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวของเราได้จริงไง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แก้วสารพัดนึก นี้เราไม่ตรงนี้ก็ว่าพูดกันแต่ปาก พูดกันไป นึกตรงไหนนึกไม่ออก ยิ่งนึกยิ่งทุกข์ เพราะเราไปนึกคาดนึกหวัง ไม่ได้นึกถึงตัวของศีลธรรม แล้วประพฤติปฏิบัติตามนั้น เห็นไหม ผู้ใดมีศีล ๕ ผู้ใดมีศีลมีธรรม ธรรมะย่อมคุ้มครอง คุ้มครองเด็ดขาด เพราะอะไร เพราะเราไม่ทำสิ่งที่ผิดพลาด

ถ้าเราไม่ทำสิ่งใดเลย อย่างเราขับรถบนถนน เราไม่ไปชนเขา คนอื่นมาชนเรา เราก็ตาย แล้วไหนว่าคุ้มครองล่ะ กรรมนะ การกระทำเราเคยทำไว้สิ่งใด มันให้ผลตามมา อันนั้นช่วยไม่ได้ เพราะอย่างนั้นถึงว่าตรงนี้ไง ถ้าเราไปคิดย้อนกลับไปตรงนั้น เราก็ไปเสียใจตรงนั้น แต่เราคิดกลับมา เหตุนั้นสร้างมาเพราะเราไม่รู้เรื่อง แต่ปัจจุบันนี้เราเข้าถึง เราเชื่อตรงนี้แล้ว เรารักษาปัจจุบันนี้ให้เป็นไปไง

เหมือนกับอย่างที่เขามาถามว่า เวลาพระปลงอาบัตินี้กรรมจะหายไหม ไม่หาย การกระทำอันนั้นให้ผลอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าการปลงอาบัตินี้ให้มีการเริ่มต้นใหม่ไง อย่างเช่นเราทำความผิดมา เราผิดพลาดไปเป็นอาบัติปาจิตตีย์ แล้วปัจจุบันนี้เราจะมานั่งสมาธิ เพราะเราอยากทำคุณงามความดี ใจเราก็กังวลแต่ของเก่า

การปลงอาบัติคือว่า ข้าพเจ้าจะสำรวมระวังต่อไปข้างหน้า สิ่งที่ผิดพลาดมาแล้วเหมือนสุภาพบุรุษไง ยอมสารภาพผิด ประจานตัวเอง แล้วจะเริ่มต้นใหม่

กรรมที่ว่าอดีตชาติก็เหมือนกัน กรรมจากอดีตชาติมันเกาะเกี่ยวกันมา ถึงเวลาปั๊บรถก็ต้องมาชนเรา เพราะเรามีกรรมอยู่อย่างนั้น เหตุการณ์ทำให้เป็นไปอยู่อย่างนั้น เราสละซะ ถ้าผู้ใดปฏิบัติธรรมแล้วธรรมะย่อมคุ้มครอง ทำไมยังเป็นอย่างนั้นๆๆ อีก มันก็ต้องสรุปลงตรงนี้ กรรมไง พระพุทธเจ้าสอนเรื่องของกรรม เรื่องการกระทำ เราต้องกระทำความดี เราตั้งใจทำของเรา สิ่งที่เป็นมาแล้ว อย่างว่าแหละ สิ่งที่มันเป็นมาแล้วมันเป็นสิ่งที่เราแก้ไขไม่ได้ แต่ปัจจุบันเป็นผู้ที่หูตาสว่างไง เราฟังธรรมะแล้วเราเชื่อ ฟังธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วทำตาม เชื่อปัญญาคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถ้าบอกสิ่งนั้นไม่ดีเลย แต่เราว่าดี พอทำไปๆ ว่าดีไง พอให้ผลกลับมา ทำไมให้โทษกลับมาล่ะ เพราะเราว่าดี เราเห็นผลประโยชน์ เราไม่ได้คิดว่าเราสละแล้วมันเป็นธรรม เป็นธรรมเราสละออกไป มันจะไปได้ผลข้างหน้านู่นน่ะ คนๆ นี้เป็นคนดี ศีลหอมทวนลมไง ผู้ใหญ่จะพูดไปบอกไง ว่าเด็กคนนี้ดีๆๆ เห็นไหม

แต่ตอนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น เราต้องสละตรงนั้นออกไป แต่ถ้าเราไม่อย่างนั้น เราอยากได้ผลประโยชน์ เห็นไหม นี่ผิดศีล แล้วเป็นอย่างไรล่ะ มันก็จะไม่ได้ไปข้างหน้า พระพุทธเจ้าถึงสอนให้หักห้ามไง ความหักห้าม ความดึง เรารักษาตนเองไว้ อย่าให้ตนเองหลับใน อย่าให้จิตมันหลับใน จะได้ประคองรถนี้ไปให้ถึงที่สุด อันนั้นเป็นธรรม เราถึงว่ารัตนตรัยอยู่ที่ตรงนั้น